Welcome


images by free.in.th
images by free.in.th

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

iPad ปรากฎการณ์ใหม่ในยุคดิจิตัล

     เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวเกี่ยวกับวงการไอทีข่าวไหนที่จะโด่งดังเท่ากับการเปิดตัว iPad จากค่าย Apple ที่ Yerba Buena Center for the Arts ที่นครซานฟรานซิสโก ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะเป็นสถานที่ที่บรรดานักคิดและศิลปินร่วมสมัยและใจกล้าใช้เป็นสถานที่เปิดตัวผลงานที่ท้าทายกระแสและแปลกใหม่ต่อหน้าสาธารณะชน และเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา (ประมาณ 01.00น. ของวันที่ 28 บ้านเรา) ทาง Apple นำโดย Steve Jobs ได้ทำการเปิดตัว iPad ซึ่งสำหรับนักวิเคราะห์หลายๆ ท่าน นับได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ท้าทายกระแสเทคโนโลยีมากเลยทีเดียว
     Apple นั้นได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่เสมอไป) อยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปลายยุค 70s โดยแทนที่จะทำการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ แล้วนำออกขาย ทางบริษัทได้ใช้แนวคิดที่ว่านำสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วมายำรวมกัน ซึ่งก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ แล้วนำเสนอแนวคิดและวิธีการใช้อย่างง่ายดายให้กับผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่นเมื่อปี 1984 Apple ได้เปิดตัว Macintoch ซึ่งถึงแม้มันจะไม่ใช่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่มีการใช้เม้าส์และคีย์บอร์ดในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้งาน แต่นับได้ว่ามันเป็นเครื่องในยุคแรกๆ ที่นำเสนอการใช้งานอุปกรณ์ทั้งสองกับเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเห็นภาพได้ชัด ถัดมาในปี 2001 หลายๆ ท่านน่าจะยังจำได้ถึงเมื่อคราวที่ Apple เปิดตัว iPod ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้จริงอยู่ที่ว่าเจ้า iPod นั้นไม่ได้เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิตัลเครื่องแรกของโลก (และผมจำได้ว่ามันเกือบจะไม่ได้แจ้งเกิดด้วยซ้ำในเมืองไทย) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพียงระยะเวลาไม่ถึงทศวรรษมันได้ก่อให้เกิดกระแส iPod Fever ขึ้นทั่วทุกมุมโลก นี่ยังไม่นับ iTune Store ที่นำเสนอช่องทางใหม่ในการเลือกซื้อเพลงให้กับผู้บริโภค (รวมทั้งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับบรรดาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่บางค่าย)  6 ปีต่อมาในปี 2007 นาย Jobs ได้เปิดตัว iPhone ซึ่งก็อีกนั่นล่ะที่ตัวมันเองนั้นไม่ได้เป็น Smartphone ตัวแรกของโลก แต่มันได้ประสบความสำเร็จในการแสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าโทรศัพท์ก็สามารถใช้งานอินเทอร์เนตและสามารถทำการดาวน์โหลดโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมได้ (และก็อีกนั่นแหละที่มันได้ก่อให้เกิด iPhone mania ขึ้นซึ่งทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ขายในตลาดสีเทากลางกรุงได้เป็นอย่างดี)
     และในปี 2010 นี้ก็ดูเหมือนว่าทาง Apple หวังว่าจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ (Phenomenon -  ซึ่งถ้าใครได้ดู clip ในช่วงขึ้นกล่าวเปิดตัว iPad ของ Steve Jobs แบบเต็มๆ แล้วจะสังเกตได้เลยว่าคุณลุงแกใช้คำนี้มากเป็นพิเศษ) ให้เกิดขึ้นกับอุปกรณ์พกพาประเภทที่สาม ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง Smartphone และโน้ตบุ๊กนี้ให้ได้ ซึ่งในช่วงท้ายของงานเปิดตัว iPad นั้น Steve Jobs ได้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า iPad จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ เข้ากับการนำเสนอเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว ในแง่นี้ผมเองมองว่าตา Jobs ต้องการจะสร้าง Platform เคลื่อนที่ขึ้นมาใหม่โดยไม่ได้ต้องการให้มาแทนที่ของเก่าที่มีอยู่เดิม (ในที่นี้คือ Smartphone และโน้ตบุ๊ก) ซึ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวิธีการบริโภคสื่อดิจิตัลของพวกเราเหมือนกับที่ iPod สามารถทำสำเร็จกับวงการเพลงมาแล้วนั่นเอง



   iPad นั้นมาพร้อมกับหน้าจอ LED ขนาด 9.7 นิ้ว หนาเพียงครึ่งนิ้ว และหนัก 680 กรัม ซึ่งคุณสมบัติของมันนั้นลุง jobs ได้กล่าวสรุปสั้นๆ ว่า มันจะใช้งานง่ายกว่าโน้ตบุ๊ก แต่มีความสามารถมากกว่า Smartphone ซึ่งก็พอบอกเป็นนัยได้ว่าเจ้า iPad นั้นเป็นการนำข้อดีในการท่องเวบของโน้ตบุ๊กมารวมกับความสะดวกสบายในการพกพาของมือถือ
     แม้ว่าตัวมันเองนั้นจะมีความบาง เบา และเปี่ยมไปด้วยความสามารถตามที่นาย Jobs ได้สาธิตให้เราเห็นในงานเปิดตัวไปแล้วก็ตาม แต่ iPad ก็ไม่สามารถหลีกหนีข้อติเตียนจากเหล่าแฟนๆ ไปได้ การที่ไม่รองรับ Adobe Flash ซึ่งเป็น API ที่เหล่านักพัฒนาเวบไซต์ใช้ในการเสริมแต่งลูกเล่นให้เวบตัวเองดูสวยงาม และเป็นลูกเล่นหลักที่เวบไซต์ชื่อดังอย่าง Youtube และ Hulu ใช้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ตัวมันเองไม่สามารถเติมเต็มประสบการณ์ในการท่องเวบให้กับผู้ใช้งานได้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมือนจะไปขัดกับคำโปรยจากลุง Jobs เองว่าอุปกรณ์ตัวนี้จะมอบประสบการณ์ท่องเวบอย่างสมบูรณ์แบบ และการที่ผู้ใช้งานไม่สามารถเปิดโปรแกรมหลายๆ ตัวพร้อมกันได้นั้นก็ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัดทางเทคนิคอยู่บ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอุปกรณ์ตัวนี้ไม่ได้ถูกวางไว้ให้มาแทนที่โน้ตบุ๊ก ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลมากกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข้อติเตียนอยู่บ้างเกี่ยวกับคุณสมบัติของตัว iPad แต่ก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าท่ามกลางอุปกรณ์ Tablet ที่จะทยอยวางตลาดกันในปีนี้ iPad จะเป็นผู้ที่สร้างกระแสความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับวงการสื่ออิเลคทรอนิกส์ได้ไม่ยาก
     เมื่อนำไปเทียบกับ Kindle ซึ่งเป็น Platform E-Reader ที่ครองตลาดอยู่ก่อนแล้วก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงในส่วนของจอแสดงผล iPad นั้นเป็นที่รู้กันว่ามีจุดเด่นอยู่ที่หน้าจอสีแบบ LED backlit ที่ใช้เทคโนโลยี IPS ซึ่งให้ภาพและสีสันที่คมชัดและไม่เพี้ยนเมื่อมองจากด้านข้าง แต่นั่นก็หมายความว่าเจ้า backlight นั้นจะคอยฉายแสงเข้าดวงตาอยู่ตลอดเวลาซึ่งสำหรับบางท่านแล้วก่อให้เกิดอาการเมื่อล้าเป็นอย่างยิ่งเมื่อจ้องติดต่อกันเป็นเวลานาน และจริงอยู่ที่ว่ามันจะให้สีสันที่คมชัดกว่าจอของ Kindle ในห้องมืดๆ แต่คงไม่สะดวกนักถ้าจะนำ iPad ไปอ่านกลางแจ้งเพราะแสงอาทิตย์จะสะท้อนกับจอ IPS เข้าตาอยู่ตลอดเวลา
     ในทางตรงกันข้าม e-reader ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้รวมทั้ง Kindle ด้วยจะใช้จอที่เรียกว่า electrophoretics screens หรือ e-paper หรือ e-ink ซึ่งไม่มีแหล่งกำเนิดแสงในตัวมันเอง (ไม่เหมือนกับ LED ของ iPad ที่มี backlight คอยให้แสงจากทางด้านหลัง) แต่ผู้ใช้งานจะมองเห็นตัวอักษรบนจอได้โดยใช้หลักการสะท้อนแสงจากแหล่งกำเนิดแสงภายนอกเข้าสู่จอแล้วสะท้อนเข้าตาผู้อ่านอีกทีหนึ่ง เหมือนกับเวลาเราอ่านกระดาษธรรมดาๆ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถอ่านกลางแจ้งหรือในห้องสว่างๆ ได้ (เพราะมีแหล่งกำเนิดแสง) แต่จะใช้อ่านในที่มืดได้ไม่ดีนัก (เพราะไม่มีแหล่งกำเนิดแสงในตัวนั่นเอง) ข้อดีอีกข้อหนึ่งนั่นคือมันประหยัดพลังงานมากกว่าจอ LCD เป็นอย่างยิ่ง (เพราะไม่มีแหล่งกำเนิดแสงในตัวมันเอง) และจะไม่กินพลังงานใดๆ เลยเมื่อผู้ใช้งานกำลังอ่านอยู่ แต่จะกินพลังงานก็ต่อเมื่อทำการเปลี่ยนหน้าหรือใช้งานด้านอื่นๆ เท่านั้น จริงอยู่ที่แม้ว่าจอ LCD นั้นจะสว่างกว่าและให้ภาพสดใสกว่า แต่ e-ink นั้นถนอมดวงตาผู้ใช้งานมากกว่า โดยไม่รู้สึกเมื่อยล้าเมื่อใช้ไปนานๆ
     และแน่นอนที่ว่าจอแบบ e-ink นั้นเบากว่ากันมาก โดย Kindle 2 นั้นหนักเพียงราว 284 กรัม แต่ iPad นั้นหนักถึง 680 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อถือไปนานๆ แล้วจะรู้สึกได้เลยถึงความแตกต่างทางด้านน้ำหนัก



    นอกจากนั้น ถ้าเราลองหันมาวิเคราะห์กันดีๆ จะเห็นว่า iPad ต่างจากผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Apple ในแง่ของการเจาะกลุ่มผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น iPhone ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2007 นั้นเป็น Smartphone ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าต้องถล่มคู่แข่งในตลาดเดียวกันให้เรียบด้วยการชูโรงคุณสมบัติเด่นๆ เช่นหน้าจอขนาดใหญ่ที่สนับสนุน multi-touch และความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับ app store เพื่อดาวน์โหลดเนื้อหาต่างๆ เพิ่มเติมได้ แต่ iPad ล่ะ? มันคืออะไรกันแน่? E-Reader? Media-Player? หรือเครื่องเล่นอินเทอร์เน็ตแบบพกพาที่กะถล่ม Netbook ให้เรียบ? เราคงยังไม่สามารถสรุปอะไรไปในตอนนี้ได้จนกว่าจะได้ลองทดสอบกับตัวเครื่องจริงๆ
     แต่ในทางกลับกัน Kindle เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการอ่านโดยเฉพาะ Kindle เป็นหนังสืออย่างแท้จริง ซึ่งสามารถดูได้จากการที่ Amazon เลือกใช้หน้าจอแบบ E-ink ซึ่งถนอมดวงตามากกว่าเวลาอ่านไปนานๆ แทนที่จะใช้จอสีที่สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ และมีน้ำหนักมากกว่า
     จริงอยู่ที่ว่า iPad มีคุณสมบัติมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการใช้งานอินเทอร์เน็ต เล่นวิดีโอ เกม หรือแม้กระทั่งใช้เป็น E-Reader แต่ประเด็นที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่า iPad จะถล่ม Kindle ไม่ให้เกิดได้อีกเลยหรือไม่ในปีนี้ หลายๆ ท่านอาจจะแย้งว่าอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติหลากหลายอย่าง iPad นั้นน่าจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้มากกว่า เพราะลงทุนครั้งเดียวได้นกหลายตัว
     แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เนื่องจากในตอนนี้ Amazon ได้ขาย Kindle ไปแล้วกว่า 2.3 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะถึง 4 ล้านภายในปีนี้ อ้างอิงตัวเลขจาก Marianne Wolk นักวิเคราะห์จาก Susquehanna Financial Group และมีส่วนแบ่งการตลาด ebook ในปัจจุบันกว่า 60% จากตัวเลขที่สูงมากเช่นนี้ Apple คงต้องคิดหลายตลบว่าจะทำอย่างไรถึงจะตีตลาดในส่วนนี้ได้ นี่ยังไม่นับคู่แข่งรายอื่นๆ อีกเช่น Nooks หรือ Sony E-reader
     แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า iPad คงจะส่งผลกระทบกับยอดขายของ Kindle อยู่บ้าง แต่คงไม่หนักหนาอะไรมากนักภายในปีนี้เมื่อ iBooks เปิดให้บริการ เพราะอย่าลืมว่า Amazon นั้นมีประสบการณ์ที่สูงมากในด้านการขายหนังสือออนไลน์ และสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับผู้ค้าหนังสือ แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคต E-Reader อาจจะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเชย และล้าหลังเมื่อ iPad สามารถครองใจผู้บริโภคได้ แต่คงไม่ม้วนเสื่อกลับบ้านไปในชั่วข้ามคืนแน่
     สรุปก็คือในระยะสั้นนั้นทั้ง iPad และ Kindle (หรือ E-Reader เจ้าอื่นๆ) จะยังคงอยู่คู่กันโดยมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันสองกลุ่ม ในมุมแดง Kindle จะยังคงหมายมั่นที่จะจับกลุ่มหนอนหนังสือตัวจริงที่ชอบการอ่านหนังสือเป็นเวลานาน อุปกรณ์น้ำหนักเบา และไม่ต้องการลูกเล่นพิเศษมากมายนัก ส่วนในมุมน้ำเงิน iPad คงต้องการที่จะจับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการใช้อินเทอร์เน็ตแบบพกพา หรือต้องการเครื่องเล่นมัลติมีเดียเคลื่อนที่ที่สามารถทำได้หลายๆ อย่าง และภายในปีนี้ทั้งคู่ก็จะยังคงแย็บกันไปมา คอยจับกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่ม แต่ยังไม่ใครโดนน็อคเอ๊าท์กลางเวที แต่ในอนาคตคงจะถึงจุดๆ หนึ่งที่กำแพงที่ขวางกั้นอุปกรณ์ทั้งสองจะทลายลง และรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

อ้างอิงจาก
http://beta.i3.in.th/content/view/1845